โมร็อกโกเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรก
ไม่ให้พลาดทุกการดูบอลแบบไม่มีสะดุดได้ที่ Goaldaddyth
โมร็อกโก สร้างความปั่นป่วน ด้วยการเอา ชนะ สเปนด้วยการดวลจุดโทษ 3-0 หลังจากจบเกม 120 นาทีแบบไร้สกอร์
แฟนบอล ในคาซาบลังก้าฉลองที่ โมร็อกโก เอาชนะ สเปน และคว้าตั๋วไปเล่นฟุตบอลโลก รอบก่อนรองชนะเลิศเป็นครั้งแรก หลังจากที่ฝ่ายของพวกเขา ได้รับชัยชนะ ในการดวลจุดโทษ ถนนก็เต็มไปด้วยแฟนๆ ที่โห่ร้อง ขณะที่ขบวนรถ ต่างใช้แตรและโบกธง “มันเป็นเกมที่ยาก แต่เด็กๆ ก็มีความสุข” กองเชียร์คนหนึ่งกล่าว
วันที่สวยงามสำหรับ โบโน และ โมร็อกโกในรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่ชนะสเปน
ติดตามดูบอลฟรีไม่มีสะดุด ได้ที่ >> ดูบอลออนไลน์ฟรี
ดูบอลฟรีไม่ให้พลาดได้ที่ >> ดูบอลออนไลน์ฟรี
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง ที่ตึงเครียด ตื่นเต้น เหนื่อยล้า และเจ็ดนาทีอันแสนทรมาน ช่วงเวลานั้นก็มาถึง อัชราฟ ฮาคิมียืนอยู่ ณ จุดนั้น โลกกำลังเฝ้าดูอยู่ เติบโตในมาดริด 1 ใน 17 นักฟุตบอล ที่เกิดนอกพรมแดนของโมร็อกโก ซึ่งช่วยสร้างทีมที่น่าอัศจรรย์นี้ หล่อหลอมมาจากบ้านเกิดและพลัดถิ่น เขาเป็นผู้ยิงจุดโทษที่เจ็ดในการดวลจุดโทษ เข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ ของฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรก
วันที่ 6 ธันวาคม 2565 ฟุตบอลโลก 2022 รอบ 16 ทีม เตะที่สนามเอดูเคชั่น ซิตี้ สเตเดียม เมืองอัล รายยาน ประเทศกาตาร์ ทีมชาติโมร็อกโก แชมป์กลุ่มเอฟ พบกับ ทีมสเปน รองแชมป์กลุ่มอี ดูบอลฟรี
นาทีที่ 25 โมร็อกโก เกือบเสียประตู จากความกล้าเล่นของ ยาสซีน บูนู ที่จ่ายบอลไม่ตรง นาเยฟ อาเกิร์ด ก่อนที่ สเปน จะเปิดสวนกลับเข้ามาในเขตโทษ กาบี ยิงจังหวะแรกติดเซฟ บูนู แล้วบอลชนคาน ก่อนที่ เฟร์ราน ตอร์เรส จะซ้ำสองไปติดบล็อก โซเฟียน อัมราบัต แต่ผู้ตัดสินเป่าให้เป็นจังหวะล้ำหน้าของ เฟร์ราน ตอร์เรส ไปก่อน
นาทีที่ 26 สเปน เริ่มเห็นช่องเจาะแนวรับ โมร็อกโก ก่อนอาศัยการวางบอลยาว จากกลางสนาม ทิ้งไปให้ มาร์โก อเซนซิโอ หลุดกับดักล้ำหน้า แต่จังหวะยิงมุมแคบเกินไป ทำให้ตัวรุกจาก เรอัล มาดริด ซัดไปเข้าข้างตาข่าย
นาทีที่ 33 โมร็อกโก มีโอกาสลุ้นได้ประตูบ้าง จากลูกยิงไกลเต้มข้อของ นูส์แซร์ มัซราอูย บอลพุ่งทะลุช่องแนวรับ สเปน มาแล้ว แต่ อูไน ซิมอน ยังล้มตัวปัดก่อน และ ตามตะครุบเอาไว้ได้
ติดตามดูบอลฟรีไม่มีสะดุด ได้ที่ >> ดูบอลออนไลน์ฟรี
ดูบอลฟรีแบบไม่มีสะดุดได้ที่นี่ >> ดูบอลออนไลน์ฟรี
เกมนี้ สเปน ที่ทำเกมรุกเข้า ใส่โมร็อกโก อย่างหนัก ส่วนทางด้าน โมร็อกโก เองก็ใช้การตั้งรับที่เหนียวแน่น บวกกับการสวนกลับ ที่อันตราย นาทีสุดท้าย สเปน เกือบได้ประตูชัย แต่ลูกยิงของตัวสำรอง ปาโบล ซาราเบีย ไปชน เสาผ่านหน้าประตู หลังจากจบ 90 นาที ทั้งคู่ยังไม่สามารถทำอะไรกันได้ เสมอกันอยู่ที่ 0-0 ทำให้เกมนี้ต้องต่อเวลาพิเศษไปอีก 30 นาที ในขณะที่ช่วงต่อเวลาพิเศษ ก็ยังเสมอกันอยู่ 0-0 ทำให้สุดท้าย ต้องตัดสินกัน ด้วยการดวลจุดโทษ
แต่ปรากฏว่า โมร็อกโก ยิงแม่นกว่า สังหารเข้า 3 คน จาก อับเดลฮามิด ซาบิรี, ฮาคิม ซิเยค และ อัชราฟ ฮาคิมี โดยมีแค่ บาเดอร์ เบโนน คนเดียวที่พลาด
ส่วน สเปน ยิงพลาดหมด 3 คน ทั้ง ปาโบล ซาราเบีย ที่ซัดคนแรกไปชนเสา, การ์ลอส โซเลร์ และ เซร์คิโอ บุสเกตส์ ที่ยิงติดเซฟ ยาสซีน บูนู
ทำให้ โมร็อกโก ดวลจุดโทษชนะ สเปน 3-0 สร้างประวัติศาสตร์เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้เป็นครั้งแรก หลังจากเคยเข้ารอบ 16 ทีมเพียงหนเดียวในปี 1986 ไปรอพบ ผู้ชนะระหว่าง ทีมชาติโปรตุเกส หรือ ทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ ในวันที่ 10 ธันวาคม
รายชื่อ 11 ตัวจริงของท โมร็อกโก vs สเปน
โมร็อกโก (ระบบ 4-3-3) : ยาสซีน บูนู (ผู้รักษาประตู) – อัชราฟ ฮาคิมี, นาเยฟ อาเกิร์ด, โรแม็ง ซาอิสส์ (กัปตันทีม), นูส์แซร์ มัซราอูย – อัซเซดีน อูนาฮี, โซเฟียน อัมราบัต, เซลิม อมัลลาห์ – ฮาคิม ซิเยค, ยุสเซฟ อ็อง-เนซีรี, โซฟิยาน บูฟาล
สเปน (ระบบ 4-3-3) : อูไน ซิมอน (ผู้รักษาประตู) – มาร์กอส ยอเรนเต, โรดรี, เอเมอริก ลาปอร์กต์, จอร์ดี อัลบา – กาบี, เซร์คิโอ บุสเกตส์ (กัปตันทีม), เปดรี – เฟร์ราน ตอร์เรส, มาร์โก อเซนซิโอ, ดานี โอลโม
